![]() |
เมื่อพูดถึงหน้าร้อนสิ่งแรกที่เรานึกถึงคงเป็นแสงแดดที่แผดจ้าถัดจากนั้นคงเป็น “เหงื่อ” ซึ่งพอนึกแล้วก็รู้สึกถึงความไม่สบายตัวได้ทันที ที่จริงแล้วเหงื่อนั้นมีประโยชน์ เพราะเป็นทางระบายความร้อนที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เวลาที่เราเป็นไข้ พอเหงื่อออกอุณหภูมิลดลงร่างกายก็รู้สึกสบายขึ้นแต่หากเหงื่อเราไม่ออกก็อาจถึงตายได้ เช่นผู้ที่อยู่ในเมืองหนาวเมื่อเจอกับคลื่นความร้อนที่มาแบบกะทันหัน ร่างกายเกิดการปรับตัวไม่ทันกับสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน ทำให้เหงื่อออกไม่ทันก็เลยเสียชีวิตเอาได้ง่ายๆ เมื่อเหงื่อออกมาก ๆ เราจะรู้สึกเพลียเนื่องจากการสูญเสีย “เกลือแร่” เพราะในเหงื่อของคนเรานั้นมีเกลือแร่ปะปนอยู่ ซึ่งหากเราสูญเสียเหงื่อมากเกินไปจะทำให้เกลือแร่ถูกขับออกจากผิวหนัง ทำให้สูญเสียเกลือแร่จำนวนมากจนบางครั้งร่างกายรับไม่ไหวและก่อให้เกิดอาการเพลีย ซึ่งสามารถชดเชยได้ด้วยการดื่มน้ำเกลือแร่เมื่อเหงื่อออกมากจนเกินไป
นอกจากนี้หลาย ๆ ท่านเมื่อมีเหงื่อออกมาก ๆ ก็อาจจะหมักหมมกลายเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์หรือ “กลิ่นตัว” ได้ กลิ่นตัวเกิดจากการที่แบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของคนเราเปลี่ยนสารบางอย่างในเหงื่อทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางบริเวณเช่น รักแร้และในร่มผ้าที่มีต่อมเหงื่อชนิดพิเศษนั้น ก็จะยิ่งมีกลิ่นได้มากกว่าบริเวณอื่นๆ สาเหตุหลักก็มาจากแบคทีเรียที่ว่านั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าไปพบแพทย์ก็อาจจะได้ยาฆ่าเชื้อมาทาหรือได้รับคำแนะนำให้ใช้สบู่ที่มีสารบางอย่างที่มีตัวยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้กลิ่นตัวก็จะลดลง อีกส่วนที่ทำให้มีกลิ่นได้คืออาหารที่รับประทานเข้าไป เช่น กระเทียม นอกจากนี้ความชื้นจากเหงื่อโดยเฉพาะบริเวณที่อับชื้นบนร่างกายเรา เช่น รักแร้ ฝ่าเท้า ซอกนิ้วเท้า ยังเป็นที่ชื่นชอบของเชื้อโรคหากไม่รักษาความสะอาดให้ดีอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ ซึ่งบางครั้งทำให้มีอาการแปลกๆ เช่น ที่ฝ่าเท้ามีรูพรุนเล็กๆ (pitted keratolysis) ซึ่งผู้ที่เป็นมักมีกลิ่นเท้ามากกว่าคนทั่วไป หรือคนที่เป็น erythrasma บริเวณรักแร้ ขาหนีบ ซอกนิ้วเท้า ก็จะมีผื่นแดงแห้ง ๆ ออกน้ำตาล ในบริเวณดังกล่าวได้
กลาก เกลื้อน เป็นอีกโรคหนึ่งที่เกิดเมื่อมีเหงื่อ กลากและเกลื้อนเกิดจากเชื้อราคนละประเภทกัน กลากนั้นชอบความชื้น ความแฉะ ความอับ ที่ไหนก็ตามที่มีความอับชื้นพอเหมาะ ราก็จะเจริญเติบโตทันที เพราะฉะนั้นก็เลยพบบ่อยแถวๆ ขาหนีบและฝ่าเท้ารวมทั้งซอกนิ้วเท้า ที่จริงเป็นได้ทั่วตัวตั้งแต่ศีรษะที่เรียกว่า “ชันนะตุ” ขาหนีบ ที่เรียกว่า “สังคัง” จนถึงเท้าที่เรียกว่า ฮ่องกงฟุตหรือเท้านักกีฬา (athlete’s foot) ผื่นกลากส่วนมากจะคัน ทำให้ผู้ที่เป็นรู้ตัวว่ามีผื่นอยู่ ผื่นนี้ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามีลักษณะเป็น “วงแหวน” ฝรั่งจึงเรียกว่า “ring worm” ยกเว้นในบางบริเวณ เช่น หนังศีรษะ ฝ่าเท้า ซึ่งอาจไม่มีลักษณะวงแหวนได้
ที่มา: สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย /ASTVผู้จัดการออนไลน์ ภาพประกอบจาก freedigitalphotos.net By imagerymajestic |