จากตอนที่ 1 เราได้แนะนำให้รู้จักสมุนไพรต้านมะเร็งส่วนแรกแล้ว (เจาะลึกสมุนไพรในตำรับยาต้านมะเร็ง ตอนที่ 1) ในตอนที่ 2 นี้เราจะมาทำความรู้จักกับเครื่องยาช่วยซึ่งก็คือ รากทนดี และ ดีเกลือ และเครื่องยาประกอบได้แก่ มะกรูด ขิงแห้ง ดีปลี และ พริกไทยกันค่ะ
>> ทนดี << ชื่อสามัญ : ทนดี, ถ่อนดี (ภาคกลาง, ตรัง), ตองแตก, ตองแต่ (ประจวบคีรีขันธ์), ลองปอม, พอบอเจ๊าะ, โทะโคละ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , นองป้อม, ยาบูเวอ และ หญ้าโวเบ่อ (เลย) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Baliospermum montanum (Willd.) Muell. Arg. ชื่อวงศ์ : EUPHORBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ยอดอ่อนมีขนใบ ใบเป็นรูปหอกเป็นวงรี ใบบริเวณโคนต้นมักมีขอบหยักเว้าเป็นแฉก 3-5 แฉก ดอกออกเป็นช่อแยกเพศบนต้นเดียวกัน ไม่มีกลีบดอก กลีบเลี้ยงสีเหลืองแกมเขียว 4-5 กลีบ ดอกตัวเมียออกที่โคนช่อ ผลแห้งแตกได้ มี 3 พู ประโยชน์ทางยา : ส่วนของทนดีที่นำมาใช้คือ ราก โดยใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย บำรุงน้ำดี ขับลม ขับเสมหะและ ฆ่าพยาธิ; ใบ นำมาต้มน้ำดื่มเป็นยาถ่ายได้ ส่วนเมล็ดใช้เป็นยาถ่ายอย่างแรง วิธีนำมาใช้จะใช้ใบ 2 -4 ใบหรือรากหนึ่งหยิบมือต้มกับน้ำหนึ่งถ้วยแล้วเติมเกลือเล็กน้อยนำมาดื่มเพื่อใช้เป็นยาถ่าย ข้อควรทราบ : เมล็ดของทนดีมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรงส่วนมากจึงไม่นิยมใช้ มักจะใช้รากหรือใบเนื่องจากเป็นยาถ่ายอย่างอ่อนและมีความปลอดภัยมากกว่า
>>ดีเกลือ<< ดีเกลือ (epsom salts) ไม่ใช่พืชสมุนไพร แต่เป็นผลพลอยได้จากการผลิตเกลือแกง (NaCl) ดีเกลือเป็นซัลเฟตของแมกนีเซียม มีลักษณะเป็นผลึกสีขาวหรือใส คล้ายผงชูรส ไม่มีกลิ่น ละลายน้ำได้ มีรสเค็มจัดจนขม นอกจากนี้ยังมีดีเกลืออีกประเภทหนึ่ง คือ ดีเกลือไทย (โซเดียมซัลเฟต) ซึ่งมีลักษณะเป็นผงสีขาว ไม่มีกลิ่น และมีรสเค็ม ประโยชน์ทางยา : ทั้งดีเกลือไทยและดีเกลือฝรั่งมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ถ่ายเสมหะ ขจัดสารพิษในร่างกาย นอกจากนี้ยังใช้ผสมกับสมุนไพรตัวอื่นเพื่อ ใช้ขัดและบำรุงผิวได้อีกด้วย การแช่ตัวด้วยน้ำร้อนผสมดีเกลือสัก 2-3 ถ้วยตวง เป็นผลดีต่อการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและช่วยระบายสารพิษออกจากร่างกาย เพราะเมื่อแมกนีเซียมซัลเฟตถูกดูดซึมผ่านทางผิวหนัง มันก็จะดึงเอาสารพิษออกจากร่างกาย ผ่อนคลายระบบประสาท ลดอาการบวม ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และยังมีคุณสมบัติที่ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกด้วย
>> มะกรูด << ชื่อสามัญ : มะขุน มะขูด (พายัพ) ส้มกรูด ส้มมั่วผี(ใต้) มะหูด(หนองคาย) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus hystrix DC. วงศ์: Rutaceae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 2-8 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาล มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบ เป็นใบประกอบที่มีใบย่อยใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม มีต่อมน้ำมันอยู่ตามผิวใบ มีกลิ่นหอมเฉพาะ ก้านใบมีปีกดูคล้ายใบ ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาว กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ กลีบดอกมี 5 แฉก โคนกลีบดอกติดกัน ผล เป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ โคนผลเรียวเป็นจุก ผิวขรุขระ มีต่อมน้ำมัน ผลอ่อนสีเขียวแก่ สุกเป็นสีเหลือง มีรสเปรี้ยว เมล็ดกลมรี สีขาว มีหลายเมล็ด ประโยชน์ทางยา : เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้แน่น ขับระดู ขับผายลม เป็นยาบำรุงหัวใจ ผลดองใช้เป็นยาฟอกเลือดในสตรี ช่วยขับระดู น้ำมันจากผิวช่วยป้องกันรังแคและทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงางาม แก้คัน แก้รังแค แก้ชันนะตุ น้ำผลมะกรูดมีรสเปรี้ยว แก้เสมหะในลำคอ เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิตระดู ขับลมในลำไส้ เนื้อของผล แก้ปวดศีรษะ ข้อควรทราบ : การใช้น้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดกับผิวหนังในปริมาณที่มาก ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงเนื่องจากอาจทำให้เกิดพิษเมื่อสัมผัสกับแสงทำให้เกิดมีสารสีเกินที่ผิวหนัง บริเวณใบหน้า และลำคอได้
>> ขิง << ชื่อสามัญ : ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber officinale Roscoe วงศ์: Zingiberaceae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน สีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีนวล มีกลิ่นเฉพาะ จะแทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นมาเหนือพื้นดิน ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน แกมรูปใบหอก กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 15-20 ซม. ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อ แทงออกจากเหง้าใต้ดิน ใบประดับเรียงเวียนสลับสีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองแกมเขียว ผล เป็นผลแห้ง ทรงกลม ขนาดประมาณ 1 ซม. เป็น 3 พู เมล็ดหลายเมล็ด ประโยชน์ทางยา : เหง้าแก่สด ใช้เป็นยาแก้อาเจียน ทำให้เจริญอาหาร แก้ท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม แก้ไอ ขับเสมหะ บำรุงธาตุ สามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียดได้ดี มีฤทธิ์ในการขับน้ำดี เพื่อย่อยอาหาร แก้ปากคอเปื่อย แก้ท้องผูกและช่วยลดความดันโลหิตได้ ข้อควรทราบ : เนื่องจากขิงมีรสเผ็ด คุณสมบัติอุ่น คนที่มีความร้อนภายใน รวมทั้งริดสีดวง เหงื่อ ออกมาก เหงื่อออกกลางคืน ตา แดง เจ็บคอ ไม่ควรรับประทานขิง
>> ดีปลี << ชื่อสามัญ : ดีปลี ดีปลีเชือก ประดงข้อ ปานนุ พิษพญาไฟ ปีกผัวะ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper retrofractum Vahl วงศ์: Piperaceae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถารากฝอยออกบริเวณข้อเพื่อใช้ยึดเกาะ ใบ เดี่ยวรูปไข่แกมขอบขนาน สีเขียวเข้มเป็นมัน ดอก ช่อ ออกที่ซอกใบ ดอกย่อยอัดกันแน่น แยกเพศ ผล เป็นผลสด มีสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง รสเผ็ดร้อน ประโยชน์ทางยา : ผลแก่จัดจะมีรสเผ็ดร้อนนำไปใช้ แก้ลม บำรุงธาตุไฟ แก้หืดไอ แก้เสมหะ หลอดลมอักเสบ ยาขับระดู ยาธาตุ ทาแก้ปวดเมื่อยและอักเสบของกล้ามเนื้อ แก้อาการท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อแน่นจุกเสียด ขับลม บำรุงธาตุ ใช้ประกอบตำรายาที่ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ธาตุไม่ปกติ ข้อควรทราบ : ไม่ควรบริโภคปริมาณมากเกินไป จะทำให้กระเพาะอักเสบ แสบทวารเวลาถ่าย คนมีไข้ไม่ควรกินจะทำให้ร้อนใน หญิงมีครรภ์ห้ามกินเพราะอาจทำให้แท้งได้
>> พริกไทย<< ชื่อสามัญ : พริกไทย, พริกน้อย (ภาคเหนือ) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper nigrum L ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้เลื้อยมีทั้งต้นตัวผู้และต้นตัวเมีย ลำต้นมีข้อและปล้องชัดเจน ใบเดี่ยวออกสลับ รูปไข่หรือรี ปลายใบแหลม โคนใบมนกลมหรือแหลมเล็กน้อย เส้นใบที่บริเวณโคนใบมี 3 - 5 เส้น ดอกออกเป็นช่อและออกตรงข้ามกับใบ ช่อรูปก้านใบยาว 10 - 20 มม. แก่แล้วมีเมล็ดสีดำ ประโยชน์ทางยา : ใบ ใช้แก้ลมจุกเสียดแน่น ท้องอืดเฟ้อ ผลที่ยังไม่สุกนำมาเป็นเครื่องเทศ แต่งกลิ่นอาหาร เมล็ดพริกไทยใช้ ขับลม ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ อาหารไม่ย่อย ดอกพริกไทยใช้แก้ตาแดง ข้อควรทราบ : การกินพริกไทยมากเกินไปจะทำให้ตาลาย เวียนศีรษะ เกิดฝีหนองเนื่องจากพริกไทยมีคุณสมบัติร้อนและแห้ง ถ้ากินมากทำให้ม้าม กระเพาะอาหาร ปอดถูกทำลาย คนที่กินพริกไทยมากและบ่อยเกินไป ทำให้ตาอักเสบได้ง่าย ทำให้คอบวมอักเสบเจ็บคอบ่อย เป็นแผลในปากและฟันอักเสบเป็นหนอง
จะเห็นได้ว่าสมุนไพรแต่ละชนิดต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปหากเมื่อนำมารวมกันก็อาจมีฤทธิ์บางอย่างที่ส่งเสริมกันและช่วยต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ อย่างไรก็ตามการใช้สมุนไพรในการรักษาโรคดังกล่าวควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญนะคะ
เรียบเรียงโดย : รักสุขภาพดอทคอม Raksukkapap.com อ้างอิง 1. ฐานข้อมูลพรรณไม้องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี 2. สรรพคุณสมุนไพรประเภทยาถ่าย ครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 3. ดีเกลือ...เกลือดีเพื่อสุขภาพและความงาม สกุลไทยออนไลน์ 4. พริกไทย หมอชาวบ้านออนไลน์ 5. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ภาพประกอบจาก freedigitalphotos.net by Stoonn |