อ่าน 2400 ครั้ง
แสงแดดกับการดูแลรักษาผิว
content/54.jpg
 

              

            ผู้หญิงทุกคนย่อมปรารถนาที่จะมีผิวสวย ฤดูกาลที่เปลี่ยนไปมีผลให้ผิวเราถูกทำลาย ยิ่งช่วงหน้าหนาวหรือหน้าร้อนก็ควรทาผิวด้วยครีมหรือโลชั่นเพื่อรักษาความชุ่มชื้นอยู่เสมอ และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดในช่วง 9.00-15.00 น. เพราะแสงแดดจะทำลายผิวได้มากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่รังสียูวีจะตกมาถึงโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้โดนแสงแดดเลยนะคะ เพราะการสัมผัสแสงแดดอ่อนๆ เพียงวันละ 15 นาที ตอนเช้าไม่มีผลต่อการทำลายสุขภาพผิวมากนักแต่กลับจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างวิตามินดี

 

ส่วนประกอบของเจ้ารังสีที่แผ่กระจายจากดวงอาทิตย์มีหลายชนิดเชียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็น


          1. แสงอินฟาเรด (Infrared light)
          2. แสงที่มองเห็นได้ (Visible light)
          3. แสงอัลตร้าไวโอเลต (Ultraviolet light) เจ้าตัวนี้มีผลต่อผิวสวยๆของเรามากที่สุด แบ่งตามช่วงความยาวคลื่นได้ 3 ช่วง คือ 
              - ยูวีเอ (UVA) เป็นแสงในช่วงความยาวคลื่น 320-400 นาโนเมตร ทำให้เกิดผิวคล้ำแดด เพราะแสงจะกระตุ้นการสร้างเมลานิน แต่ไม่ทำให้เกิดการอักเสบ 
              - ยูวีบี (UVB) เป็นแสงในช่วงความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตร ทำให้เกิดผิวเกรียมแดดและผิวหนังอักเสบ ผิวแก่ก่อนวัย และเกิดมะเร็งผิวหนัง
             - ยูวีซี (UVC) เป็นแสงในช่วงความยาวคลื่น180-290 นาโมเมตร โดยมากจะถูกดูดซับโดยก๊าซโอโซนในบรรยากาศไม่ตกลงมาถึงโลก (ดังนั้นแสงอัลตราไวโอเลตที่มาถึงโลกจะอยู่ในช่วงความยาวคลื่น 290-400 นาโมเมตร ซึ่งก็คือ UVA และUVB)

 

ครีมกันแดด อาวุธคู่ผิวสวย
            Sunscreen หรือผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด เข้ามามีบทบาทในการดูแลผิวพรรณของพวกเราเป็นอย่างมาก เพราะผิวหนังที่ปราศจากสิ่งปกปิดเมื่อถูกแสงแดดเป็นเวลานาน จะเกิดการบวมแดงพองและลอกออกในที่สุด หรือเรียกง่ายๆ ว่า "แดดเผา” (sunburn) แต่ถ้าเพียงทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีคล้ำชื้น เรียกว่าเกิด “ผิวสีแทน”(tanning) กรณีที่ถูกแดดจัดๆ นานๆ นอกจากจะทำให้ผิวหนังบวมแดงพองแล้ว อาจมีอาการคลื่นไส้ อ่อนเพลีย มีไข้ร่วมด้วย

 

SPF คืออะไร
            ค่า SPF หรือ Sun Protection Factor คือค่าความสามารถในการป้องกันรังสีว่านานเท่าใดผิวจึงจะปรากฏอาการแดงเมื่อทาผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบกับการไม่ทาผลิตภัณฑ์ เช่น ผิวโดนแสงแดดโดยไม่ทาครีมกันแดด นาน 25 นาที ผิวจึงแดง แต่เมื่อทาครีมกันแดดแล้วจะใช้เวลานานขึ้นเป็น 375 นาทีผิวจึงแดง ค่า SPF ของครีมนั้นคือ 375/25 = 15 พูดง่ายๆ ว่าทาครีมนั้นแล้วผิวจะทนแสงนานขึ้น 15 เท่า (ไม่ใช่มากขึ้น 15 เท่า) สำหรับคนไทย ค่า SPF ที่เหมาะสม คือ SPF 15 แต่ปัจจุบันครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่านี้ก็มีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ แน่นอนว่าความสามารถในการดูดซับรังสียูวีบีก็จะเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่มากนัก แต่ที่แน่ ๆ ราคาก็จะสูงตามไปด้วยแถมโอกาสแพ้ก็มากขึ้นเช่นกัน ยังไงก็แล้วแต่ เราอาจจะพบว่าครีมกันแดด SPF 30 แต่พอทาจริงๆ วัดแล้วเหลือแค่ 15 ก็มี ไม่ใช่ว่าเขาใส่สารกันแดดไม่ครบหรอกนะคะ แต่เพราะว่าเรามักทาบางกว่าที่เขากำหนดไว้ หรือระยะเวลาหลังทาครีมกันแดดถ้ายิ่งนานค่า SPF ก็จะลดลงด้วยถึง 50 % ทำให้ได้ค่า SPF ที่ต่ำกว่าที่ผลิตภัณฑ์ระบุไว้ ดังนั้นควรเลือกใช้ SPF มากกว่า 30 ขึ้นไป และควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เพราะครีมกันแดดบางส่วนจะถูกเช็ดออกหรือชะล้างออกด้วยเหงื่อ  อย่างไรก็ตามสิ่งที่พึงระลึกเสมอก็คือไม่มีผลิตภัณฑ์กันแดดตัวใดที่จะสามารถป้องกันอันตรายจากแสงแดดได้ 100 %

 

วัน ๆ แทบไม่โดนแดด จำเป็นหรือไม่ต้องทาครีมกันแดด ?
            อุ๊ย ! อย่าเพิ่งชะล่าใจนะคะ เพราะแม้ว่ารังสียูวีบีจะถูกกรองออกไปได้ด้วยกระจก ไม่มีโอกาสมาแหยมที่ๆ เราอยู่ แต่รังสีทุกชนิดอาจเข้ามาในบ้านที่เปิดประตูหน้าต่างไว้ด้วยกระแสลม สรุปได้ว่า ครีมกันแดดยังจำเป็นต้องทานั่นเอง

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก 

ภญ.ฐนิตา ทวีธรรมเจริญ ฝ่ายเภสัชกรรม

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ศิริราช ความรู้สู่ประชาชน E-public library

ภาพจาก freedigitalphotos







Create your own banner at mybannermaker.com!








รักสุขภาพ : ข่าวสุขภาพ#บทความสุขภาพ#โรคน่ารู้#ลดความอ้วน#ลดน้ำหนัก#รักษาสิว#รักษาฝ้า#เบาหวาน#ความดัน#อาหารเสริม#ผิวขาว#กลูตาไธโอน#กาแฟลดน้ำหนัก#