![]() |
โรคลมพิษ (Urticaria) เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง พบมีผื่นแดงนูนเป็นปื้นบนผิวหนัง มีขอบชัดเจนและไม่มีขุย ผื่นลมพิษมีขนาด 0.5 – 10 เซนติเมตร มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและแพร่กระจายไปตามตัว ทำให้เกิดอาการคันตามมา โดยปกติ ผื่นลมพิษจะคงอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะค่อย ๆ จางไปโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นแต่ก็อาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีก ในผู้ป่วยที่มีอาการแพ้รุนแรง อาจมีอาการอื่นร่วม เช่น ริมฝีปากบวม ตาบวม ปวดท้อง คัดจมูก หายใจไม่สะดวก มีอาการหอบหืดและเป็นลมหมดสติในที่สุด ลมพิษแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือ ลมพิษเฉียบพลัน และลมพิษเรื้อรัง (มีอาการต่อเนื่องยาวนานกว่าหกสัปดาห์)
สาเหตุที่ก่อให้เกิดลมพิษ ได้แก่ : การแพ้อาหารชนิดต่าง ๆ สารเคมีที่ผสมอยู่ในอาหาร เช่น สารกันบูด การแพ้ยา การติดเชื้อโรคต่าง ๆ แพ้พิษแมลง แพ้สิ่งที่สัมผัส เช่น แพ้ขนสัตว์ แพ้ยาง แพ้เกสรดอกไม้ หรือ แพ้อากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ความร้อน ความเย็น แสงแดด เหงื่อ ซึ่งแต่ละคนจะแพ้ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้อาการป่วยบางอย่างก็อาจก่อให้เกิดผื่นลมพิษได้เช่นกัน เช่น โรคต่อมไทรอยด์ มะเร็งที่เกิดขึ้นในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย แพ้ระบบภูมคุ้มกันตัวเอง ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดอักเสบ เป็นต้น
การรักษาโรคลมพิษ : พยายามหาต้นเหตุที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งเหล่านั้น ไม่เกาผิวหนังเพราะอาจทำให้ลมพิษเห่อมากกว่าเดิมเนื่องจากเกิดอาการผิวหนังอักเสบ อาจใช้ยาทา เช่น คาลาไมน์ โลชั่น เพื่อบรรเทาอาการคันแทน รับประทานยาแก้แพ้ หรือ ยาต้านฮิสตามีน ซึ่งยาแก้แพ้เหล่านี้มีอยู่หลายประเภทและแต่ละประเภทออกฤทธิ์ได้ต่างกัน ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาเหล่านี้ นอกจากนี้หากมีอาการแพ้มากแพทย์อาจพิจารณายาอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์ยังยั้งการเกิดผื่นลมพิษที่เฉพาะเจาะจงกว่ายาแก้แพ้ทั่วไปได้
ขอบคุณข้อมูลจาก ศ.พญ. กนกวลัย กุลทนันทน์ ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขอบคุณภาพประกอบจาก freedigitalphotos.net by adamr |